6 ชนิดกระดาษสำหรับงานพิมพ์ เช่น กระดาษอาร์ตการ์ด กระดาษสำหรับพิมพ์ภาพถ่ายและบัตรเชิญ พร้อมคำแนะนำการเลือกใช้กระดาษให้เหมาะสม

6 ชนิดกระดาษ สำหรับงานพิมพ์ เลือกใช้ผิดชีวิตเปลี่ยน มาดูกัน!

การเลือกกระดาษที่เหมาะสมสำคัญมาก! มาดูกระดาษ 6 ชนิดที่ใช้ในงานพิมพ์พร้อมเทคนิคเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุดในธุรกิจของคุณ

การเลือกกระดาษที่ใช้ในงานพิมพ์อาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วมันมีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพของงานที่ออกมา! ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เอกสารการตลาด, หนังสือ, หรือแม้แต่โปสเตอร์ กระดาษแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ซึ่งทำให้การเลือกใช้กระดาษที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้คุณภาพงานลดลงและเสียเวลาเปล่าได้ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 6 ชนิดกระดาษงานพิมพ์ ที่คุณต้องรู้ พร้อมวิธีการเลือกกระดาษให้เหมาะสมกับงานพิมพ์ของคุณ ถ้าไม่อยากให้ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะการเลือกกระดาษผิด ลองอ่านกันต่อเลย

แสดงประเภทของกระดาษต่างๆ เช่น กระดาษอาร์ตการ์ด, กระดาษลูกฟูก, กระดาษคราฟท์, กระดาษแข็ง และกระดาษรีไซเคิล พร้อมชื่อที่ระบุบนแต่ละประเภทกระดาษ

6 ชนิด กระดาษสำหรับงานพิมพ์

สำหรับงานพิมพ์ มีกระดาษหลายชนิดให้เลือกใช้ตามลักษณะงานและความต้องการ ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดังนี้

1.กระดาษปอนด์ (Bond Paper)

ถ้าพูดถึงกระดาษที่เรามักจะใช้กันบ่อยที่สุดในงานพิมพ์เอกสารทั่วไป เช่น การพิมพ์รายงาน หนังสือพิมพ์ หรือจดหมาย หลายคนก็คงนึกถึง กระดาษปอนด์ กันใช่ไหมล่ะ? จริงๆ แล้วกระดาษปอนด์ถือเป็นหนึ่งในกระดาษที่นิยมใช้ที่สุดในสำนักงาน หรือในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะงานที่ต้องการความคมชัดของการพิมพ์และราคาประหยัด

ขนาดกระดาษปอนด์

  • ขนาดที่ใช้บ่อยที่สุดในกระดาษปอนด์คือ A4 (210 x 297 มม.) ซึ่งเหมาะกับการพิมพ์เอกสารทั่วไป เช่น หนังสือหรือใบรายงาน
  • นอกจากนี้ยังมีขนาดอื่นๆ เช่น A3 (297 x 420 มม.) สำหรับงานที่ต้องการขนาดใหญ่ขึ้น หรือ A5 (148 x 210 มม.) สำหรับงานที่ขนาดเล็กลง

ความหนา (แกรม)

  • กระดาษปอนด์ มักจะมีความหนาอยู่ระหว่าง 60 ถึง 120 แกรม ขึ้นอยู่กับประเภทและการใช้งาน โดยปกติแล้ว ถ้าพิมพ์เอกสารทั่วไปที่ไม่ต้องการความหนามาก ก็จะใช้ 60-80 แกรม ซึ่งจะรู้สึกบางและเหมาะกับการพิมพ์หลาย ๆ แผ่น
  • ถ้าต้องการพิมพ์เอกสารที่ให้ความรู้สึกแข็งแรงขึ้นหรือทนทานต่อการใช้งาน ก็สามารถเลือกใช้ 100-120 แกรม ซึ่งกระดาษจะหนาและทนทานมากขึ้น

ลักษณะกระดาษ

  • กระดาษปอนด์จะมีพื้นผิวเรียบเนียน ไม่มันเงามากเหมือนกระดาษอาร์ต แต่ก็ไม่ได้หยาบหรือเป็นกระดาษแข็ง
  • สีของกระดาษปอนด์ ส่วนใหญ่จะเป็น สีขาว (หรือบางครั้งอาจเป็นสีครีม) ซึ่งช่วยให้การพิมพ์คมชัดและอ่านง่าย
  • โดยทั่วไปแล้ว กระดาษปอนด์จะไม่มันวาว จึงเหมาะกับการพิมพ์เอกสารที่ต้องการให้ข้อความเด่นชัด โดยไม่สะท้อนแสง

ข้อดีของกระดาษปอนด์

  • ราคาถูก: ถ้าคุณต้องการพิมพ์จำนวนมากๆ ไม่ว่าจะเป็นรายงาน หรือเอกสารทางการ กระดาษปอนด์คือทางเลือกที่ดี
  • ใช้งานหลากหลาย: สามารถใช้ได้ทั้งพิมพ์เอกสารหรือทำสำเนาแบบง่าย ๆ
  • หาซื้อได้ง่าย: กระดาษปอนด์หาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนทั่วไปเลย

ข้อควรระวัง

กระดาษปอนด์อาจจะไม่ทนทานเท่ากระดาษประเภทอื่นๆ เช่น กระดาษแข็ง หรือกระดาษอาร์ต เพราะมันบางกว่าและอาจฉีกขาดได้ง่ายถ้าโดนดึงมากเกินไป

การใช้งาน

  • การพิมพ์เอกสารทั่วไป: เหมาะกับการพิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารภายในสำนักงาน หรือแม้แต่การพิมพ์ใบปลิวที่ไม่ต้องการความเงางาม
  • การทำสำเนา: เนื่องจากราคาถูกและหาได้ง่าย กระดาษปอนด์จึงเป็นที่นิยมในงานที่ต้องการทำสำเนาเอกสาร

2.กระดาษอาร์ต (Art Paper)

ถ้าคุณเคยพิมพ์โบรชัวร์หรือใบปลิวที่ดูหรูหรา หรือแม้แต่ปกหนังสือที่แวววาว คงไม่พ้นกระดาษอาร์ตแน่ๆ กระดาษชนิดนี้มีลักษณะที่พิเศษและเหมาะกับงานที่ต้องการให้การพิมพ์ดูมีคุณภาพสูงและสวยงาม กระดาษอาร์ตเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการความเงางามหรือความคมชัดของภาพและข้อความมากๆ

ขนาดกระดาษอาร์ต

  • กระดาษ A4 (210 x 297 มม.) และ กระดาษ A3 (297 x 420 มม.) เป็นขนาดที่ใช้กันบ่อยที่สุดในงานพิมพ์ทั่วไป เช่น โบรชัวร์หรือแผ่นพับ
  • นอกจากนี้ยังมีขนาดอื่นๆ เช่นกระดาษ A5 หรือ กระดาษ A2 ที่ใช้ในการพิมพ์สื่อขนาดเล็กหรือใหญ่ขึ้น ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน

ความหนา (แกรม)

  • กระดาษอาร์ต มักมีความหนาตั้งแต่ 80 แกรม ไปจนถึง 250 แกรม หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของกระดาษอาร์ตที่เลือก
  • ถ้าต้องการพิมพ์สิ่งพิมพ์ที่ไม่หนามาก เช่น โบรชัวร์หรือใบปลิวที่ต้องการพกพาง่าย จะเลือกใช้ 80-120 แกรม
  • หากต้องการให้สิ่งพิมพ์มีความหนาและทนทาน เช่น ปกหนังสือหรืองานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพสูง จะเลือกใช้ 180-250 แกรม

ลักษณะกระดาษ

  • กระดาษอาร์ต มีพื้นผิวที่เรียบและมันวาว โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกระดาษประเภทอื่น ๆ ที่มักจะเรียบหรือมีผิวขรุขระ
  • กระดาษชนิดนี้มีการเคลือบทั้ง ด้านเงา (Glossy) และ ด้านด้าน (Matte) ให้เลือกตามความต้องการของงาน
  • ด้านเงา ให้ความเงางามสวยงาม เหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการให้สีและภาพเด่นชัด เช่น โบรชัวร์, นิตยสาร, หรือปฏิทิน

ข้อดีของกระดาษอาร์ต

  • การพิมพ์คมชัด: เนื่องจากกระดาษอาร์ตมีพื้นผิวที่เรียบและมัน จึงเหมาะกับการพิมพ์ที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ภาพถ่ายหรือกราฟิก
  • เนื้อสัมผัสหรูหรา: ถ้าคุณต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของคุณดูมีคุณภาพและหรูหรา กระดาษอาร์ตก็เหมาะมาก เพราะมันจะทำให้ผลิตภัณฑ์ดูน่าสนใจและมีความพรีเมียม
  • เหมาะกับงานพิมพ์จำนวนมาก: ถ้าคุณต้องการพิมพ์โบรชัวร์ นิตยสาร หรือบัตรเชิญ กระดาษอาร์ตคือทางเลือกที่ดี เพราะมันช่วยให้สีสันและรายละเอียดต่าง ๆ ของงานพิมพ์โดดเด่น

ข้อควรระวัง

  • ราคาค่อนข้างสูง: เนื่องจากความพิเศษและคุณภาพของกระดาษ กระดาษอาร์ตมักจะมีราคาที่สูงกว่ากระดาษประเภทอื่น ๆ
  • อาจไม่เหมาะกับการเขียนด้วยปากกาหรือดินสอ: ถ้าคุณต้องการเขียนบนกระดาษอาร์ต อาจจะไม่ค่อยสะดวก เนื่องจากพื้นผิวมันทำให้หมึกหรือดินสอไม่เกาะติดได้ดีเท่ากระดาษทั่วไป

การใช้งาน

  • การพิมพ์โบรชัวร์หรือใบปลิว: กระดาษอาร์ตเหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการความสวยงามและความเงางาม เช่น โบรชัวร์ แผ่นพับ หรือโปสเตอร์
  • การพิมพ์ปกหนังสือหรือนิตยสาร: เพราะกระดาษอาร์ตให้ความเงางามและทนทาน มันจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการทำปกหนังสือหรือนิตยสาร
  • บัตรเชิญหรือการ์ด: กระดาษอาร์ตเหมาะมากสำหรับบัตรเชิญหรืองานพิมพ์ที่ต้องการความพิเศษ และให้ความรู้สึกหรูหรา

3.กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper)

ถ้าพูดถึงกระดาษที่ดูมีความ ธรรมชาติ และ ทนทาน แบบสุดๆ แล้ว หลายคนคงต้องนึกถึง กระดาษคราฟท์ กันแน่นอน! กระดาษชนิดนี้ไม่ได้ใช้แค่ในงานพิมพ์เอกสารเท่านั้น แต่ยังนิยมใช้ในงาน บรรจุภัณฑ์ หรือ ถุงกระดาษ กันเยอะมาก เพราะมันทั้งทนทานและให้ความรู้สึก ดิบ แบบธรรมชาติสุดๆ

ขนาดกระดาษคราฟท์

  • กระดาษคราฟท์สามารถหาซื้อได้ในหลากหลายขนาด แต่ว่าขนาดที่ใช้กันบ่อย ๆ คือกระดาษ A4 (210 x 297 มม.) และกระดาษ A3 (297 x 420 มม.) ซึ่งเหมาะสำหรับการพิมพ์งานทั่วไป
  • สำหรับงานบรรจุภัณฑ์ เช่น ถุงกระดาษ หรือกล่องบรรจุภัณฑ์ อาจใช้ขนาดที่ใหญ่กว่าหรือขนาดมาตรฐานของการผลิตถุง เช่น ขนาด 30 x 40 ซม. หรือ 50 x 70 ซม.

ความหนา (แกรม)

  • กระดาษคราฟท์มักจะมีความหนาหลากหลาย ขึ้นอยู่กับการใช้งาน โดยทั่วไปจะมีความหนาอยู่ระหว่าง 70 ถึง 200 แกรม ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันทำอะไร
  • กระดาษคราฟท์ 70-100 แกรม เหมาะสำหรับการพิมพ์เอกสารหรือการทำถุงกระดาษบาง ๆ ที่ต้องการความแข็งแรงแต่ไม่หนาจนเกินไป
  • กระดาษคราฟท์ 150-200 แกรม จะใช้ในงานที่ต้องการความหนาและทนทานมากขึ้น เช่น การทำกล่องกระดาษ หรือถุงกระดาษที่ต้องรับน้ำหนักได้ดี

ลักษณะกระดาษ

  • กระดาษคราฟท์มี ลักษณะผิวสัมผัสหยาบ และไม่เงา ซึ่งให้ความรู้สึกที่ เป็นธรรมชาติ มากๆ เมื่อสัมผัสกับมือ
  • สีของกระดาษคราฟท์ส่วนใหญ่จะเป็น น้ำตาลอ่อน หรือ น้ำตาลเข้ม ที่ได้จากการใช้กระดาษรีไซเคิล ทำให้ดูมีเอกลักษณ์และเหมาะกับงานที่ต้องการให้ดูธรรมชาติ
  • กระดาษนี้มักมีความหนามากกว่าและแข็งแรงพอสมควร จึงไม่สามารถพับหรือทำให้ยับได้ง่ายๆ

ข้อดีของกระดาษคราฟท์

  • ทนทาน: ด้วยความหนาและคุณสมบัติที่ทนทาน กระดาษคราฟท์จึงเหมาะกับงานบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรับน้ำหนักได้ดี เช่น ถุงใส่ของหรือกล่องบรรจุภัณฑ์
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: กระดาษคราฟท์มักผลิตจากกระดาษรีไซเคิล ทำให้มันเป็นทางเลือกที่ดีในการใช้งานที่เน้นความยั่งยืนและรักษ์โลก
  • ความสวยงามตามธรรมชาติ: กระดาษคราฟท์มักมีลวดลายที่ไม่เหมือนใคร จากกระบวนการผลิตที่ไม่ฟอกสีหรือใช้สารเคมีมาก ทำให้มีสไตล์และความดูเป็นธรรมชาติที่ไม่สามารถหาได้จากกระดาษประเภทอื่นๆ

ข้อควรระวัง

  • การพิมพ์: เนื่องจากกระดาษคราฟท์มีผิวสัมผัสที่หยาบ การพิมพ์บนกระดาษนี้อาจจะไม่ได้คมชัดเหมือนกระดาษที่เรียบลื่นมากนัก โดยเฉพาะถ้าเป็นการพิมพ์ที่มีรายละเอียดมากๆ
  • สีไม่สดใส: กระดาษคราฟท์ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการสีสันสดใสหรือรายละเอียดคมชัด เพราะสีของมันมักจะมีโทนที่ออกไปทาง ธรรมชาติ หรือ เอิร์ธโทน

การใช้งาน

  • บรรจุภัณฑ์: กระดาษคราฟท์มักใช้ในการทำ ถุงกระดาษ กล่องบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ หรือ ซองบรรจุสินค้า เพราะมันทั้งทนทานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  • งานศิลปะหรือดีไซน์: กระดาษคราฟท์ยังนิยมใช้ในการทำ การ์ด โปสการ์ด หรือ การพิมพ์ลวดลาย ที่ต้องการความรู้สึกแบบธรรมชาติหรือดิบๆ
  • การพิมพ์ภาพหรือข้อความ: สำหรับการพิมพ์บนกระดาษคราฟท์ควรเลือกใช้สีที่มีความเข้ม เช่น สีน้ำตาล ดำ หรือสีขาว จะทำให้พิมพ์ได้ชัดเจนกว่า

4.กระดาษแข็ง (Rigid Box)

ถ้าใครกำลังมองหากระดาษที่มีความหนาและทนทาน กระดาษแข็ง (Rigid Box) นี่แหละที่ตอบโจทย์! กระดาษประเภทนี้จะถูกใช้ในงานพิมพ์ที่ต้องการความแข็งแรงและทนทานเป็นพิเศษ เช่น การพิมพ์การ์ดอวยพร โปสการ์ด หรือแม้กระทั่งปฏิทินที่ต้องการให้คงทนและไม่เสียรูปง่าย

ขนาดกระดาษแข็ง

  • กระดาษแข็งมีหลายขนาดให้เลือกตามงานที่ต้องการ แต่ขนาดที่นิยมใช้บ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้น A4 (210 x 297 มม.) หรือ A5 (148 x 210 มม.) สำหรับงานพิมพ์การ์ดหรือโปสการ์ด
  • ถ้าจะทำงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น ปฏิทินหรือโปสเตอร์ ก็อาจจะเลือกใช้ A3 (297 x 420 มม.) หรือ A2 (420 x 594 มม.)

ความหนา (แกรม)

  • กระดาษแข็ง จะมีความหนามากกว่ากระดาษทั่วไป โดยปกติจะมีความหนาอยู่ระหว่าง 200-400 แกรม (บางรุ่นอาจหนากว่านี้)
  • กระดาษแข็ง หนา 200-250 แกรม มักใช้ในการพิมพ์การ์ดอวยพรหรือปฏิทินที่มีการพับเก็บ
  • กระดาษหนา 350-400 แกรม ใช้ในการพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความทนทานสูง หรือการพิมพ์ที่ต้องรองรับน้ำหนักได้ดี

ลักษณะกระดาษ

  • กระดาษแข็งจะมีความหนาและแข็งมากกว่ากระดาษทั่วไป จึงทำให้มันค่อนข้างทนทานและไม่ยับง่าย
  • พื้นผิวของกระดาษแข็ง อาจจะเรียบหรือด้าน ขึ้นอยู่กับการใช้งาน บางชนิดก็จะมีการเคลือบผิวหรือมีลายนูนเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ
  • กระดาษแข็งมักมีสีขาว ครีม หรือแม้กระทั่งสีที่ปรับได้ตามการใช้งาน และก็อาจจะมีลายหรือพื้นผิวที่แตกต่างกันไป

ข้อดีของกระดาษแข็ง

  • ทนทาน: กระดาษแข็งมีความทนทานสูงมากและสามารถทนต่อการกดหรือขีดข่วนได้ดี
  • รูปลักษณ์หรูหรา: เพราะมันมีความหนาและทนทาน จึงเหมาะกับการพิมพ์สิ่งที่ต้องการการรับรู้หรูหรา เช่น การ์ดอวยพร หรือปฏิทิน
  • พิมพ์ได้หลายด้าน: กระดาษแข็งสามารถพิมพ์ได้ทั้งสองด้าน ทำให้สามารถเพิ่มข้อความหรือกราฟิกต่างๆ ลงไปได้หลายจุด

ข้อควรระวัง

  • กระดาษแข็งบางรุ่นอาจจะไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในเครื่องพิมพ์บางประเภท เพราะมันมีความหนามากเกินไป ทำให้เครื่องพิมพ์บางรุ่นอาจไม่สามารถพิมพ์ได้
  • ราคาค่อนข้างสูงกว่ากระดาษปอนด์หรือกระดาษทั่วไป ทำให้ไม่เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่มีจำนวนมาก

การใช้งาน

  • การพิมพ์การ์ด: ใช้กระดาษแข็งในการพิมพ์การ์ดอวยพร การ์ดเชิญ หรือโปสการ์ด เพราะมันช่วยให้การ์ดดูหรูหราและทนทาน
  • งานบรรจุภัณฑ์: กระดาษแข็งถูกใช้ในการพิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการความแข็งแรงในการรองรับสินค้าภายใน
  • ปฏิทินหรือโปสเตอร์: ใช้ในการพิมพ์ปฏิทินที่ต้องการให้คงทนและไม่พับหรืองอได้ง่าย

5.กระดาษอาร์ตการ์ด (Art Card)

ถ้าพูดถึงกระดาษที่แข็งแรงและให้ความรู้สึกพรีเมียม เมื่อสัมผัสแล้วรู้สึกถึงความหรูหรา กระดาษอาร์ตการ์ด คือหนึ่งในตัวเลือกที่หลายคนมักจะนึกถึงเลยล่ะ! กระดาษอาร์ตการ์ดไม่ใช่แค่มีความหนาและทนทาน แต่ยังมีความเรียบลื่นที่เหมาะกับการพิมพ์งานที่ต้องการคุณภาพสูงๆ เช่น ปกหนังสือ การ์ดอวยพร โปสเตอร์ หรือแม้แต่บรรจุภัณฑ์ที่ต้องการดูพรีเมียม

ขนาดกระดาษอาร์ตการ์ด

  • ส่วนใหญ่แล้ว กระดาษอาร์ตการ์ด จะมีขนาดที่เหมือนกับกระดาษทั่วไป เช่น กระดาษ A4 (210 x 297 มม.) หรือ กระดาษ A3 (297 x 420 มม.) ใช้กันอย่างแพร่หลายในการพิมพ์เอกสารที่มีคุณภาพสูง
  • นอกจากนี้ก็สามารถหาซื้อได้ในขนาด SRA3 หรือ SRA2 สำหรับงานพิมพ์ที่ใหญ่ขึ้น เช่น ป้ายโฆษณาหรือโปสเตอร์ที่ต้องการขนาดใหญ่

ความหนา (แกรม)

  • กระดาษอาร์ตการ์ดมักจะมีความหนามากกว่ากระดาษปอนด์ โดยปกติแล้ว 100 แกรม เป็นความหนาขั้นต่ำที่ใช้สำหรับการพิมพ์ทั่วไป
  • 300 แกรม หรือ 350 แกรม เป็นความหนาที่นิยมใช้ในการพิมพ์งานที่ต้องการความหนาและแข็งแรงมากขึ้น เช่น ปกหนังสือ การ์ด หรือโปสเตอร์ ซึ่งจะให้ความรู้สึกพรีเมียมเมื่อจับ
  • ความหนาเหล่านี้ทำให้กระดาษอาร์ตการ์ดมีความทนทานและเหมาะกับการพิมพ์ที่ต้องการรักษาความคมชัดของภาพและข้อความในระยะยาว

ลักษณะกระดาษ

  • พื้นผิว: กระดาษอาร์ตการ์ดมีลักษณะเรียบเนียนและมันวาวหรือด้าน ขึ้นอยู่กับประเภทที่เลือกใช้ หากต้องการความเงามากก็จะเลือกกระดาษอาร์ตมัน (Glossy), หากต้องการความละเอียดและความเป็นธรรมชาติจะเลือกกระดาษอาร์ตด้าน (Matte) ซึ่งมักจะให้สีที่ละเอียดและมีความซับซ้อนในการพิมพ์มากกว่า
  • สี: กระดาษอาร์ตการ์ดส่วนใหญ่จะเป็นสีขาว หรือสีครีมเพื่อให้การพิมพ์ออกมาคมชัดและสวยงาม เหมาะกับการพิมพ์ภาพถ่ายหรือกราฟิกที่ต้องการความคมชัด

ข้อดีของกระดาษอาร์ตการ์ด

  • คุณภาพการพิมพ์ที่สูง: เพราะพื้นผิวเรียบลื่นและความหนา ทำให้ภาพถ่ายหรือกราฟิกที่พิมพ์ออกมาดูคมชัดและมีสีสันที่สดใส
  • ทนทานและแข็งแรง: กระดาษอาร์ตการ์ดมีความแข็งแรง ทำให้เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความทนทาน เช่น ปกหนังสือ การ์ด หรือโปสเตอร์
  • ลุคพรีเมียม: การใช้งานกระดาษอาร์ตการ์ดช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหรือเอกสารที่พิมพ์ออกมา ทำให้ดูพรีเมียมและน่าสนใจยิ่งขึ้น

ข้อควรระวัง

  • ราคาค่อนข้างสูง: เนื่องจากกระดาษมีความหนาและคุณภาพสูง จึงมีราคาสูงกว่ากระดาษประเภทอื่นๆ
  • อาจจะไม่เหมาะกับการพิมพ์จำนวนมาก: หากคุณต้องการพิมพ์เอกสารจำนวนมากในราคาประหยัด อาจจะไม่เหมาะใช้กระดาษอาร์ตการ์ดเพราะต้นทุนสูงกว่า

การใช้งาน

  • การพิมพ์การ์ด: เช่น การ์ดอวยพร หรือการ์ดแต่งงาน เพราะให้ความรู้สึกหรูหราและพรีเมียม
  • การพิมพ์ปกหนังสือ: การพิมพ์ปกหนังสือหรือปกนิตยสารก็เหมาะกับกระดาษอาร์ตการ์ด เพราะมันช่วยให้การพิมพ์มีความคมชัดและมีคุณภาพสูง
  • โปสเตอร์และแผ่นพับ: ถ้าคุณต้องการโปสเตอร์หรือแผ่นพับที่ต้องการการพิมพ์สีที่คมชัดและทนทาน กระดาษอาร์ตการ์ดก็เป็นตัวเลือกที่ดี

กระดาษอาร์ตการ์ดเป็นกระดาษที่เหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการความสวยงาม คมชัด และทนทาน แถมยังทำให้สิ่งพิมพ์นั้นดูหรูหราและน่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย! ถ้าอยากได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงและมีความพรีเมียม กระดาษอาร์ตการ์ดคือตัวเลือกที่ตอบโจทย์เลยล่ะ


6.กระดาษรีไซเคิล (Recycled Paper)

ถ้าพูดถึงกระดาษที่ “ดีต่อโลก” และใช้งานง่ายมาก ๆ หนึ่งในนั้นก็คือ กระดาษรีไซเคิล นั่นเอง! กระดาษชนิดนี้ไม่ได้ถูกผลิตจากต้นไม้ใหม่ๆ แต่กลับทำจากการนำกระดาษเก่ามาหมุนเวียนใช้อีกครั้ง ซึ่งทำให้กระดาษรีไซเคิลกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับใครหลายๆ คนที่ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม

ขนาดกระดาษรีไซเคิล

  • ขนาดกระดาษรีไซเคิลก็มีหลายขนาดเหมือนกับกระดาษทั่วไป เช่น A4 (210 x 297 มม.), A3 (297 x 420 มม.), หรือ A5 (148 x 210 มม.) ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
  • นอกจากนี้ยังมี ขนาดพิเศษ สำหรับงานที่ต้องการขนาดใหญ่ หรือการใช้งานพิมพ์ที่แตกต่างกันไป

ความหนา (แกรม)

  • กระดาษรีไซเคิลก็มีความหนาหลายระดับเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วกระดาษรีไซเคิลมักจะมีความหนาอยู่ระหว่าง 70-100 แกรม ขึ้นอยู่กับประเภทและการใช้งาน
  • ถ้าคุณต้องการกระดาษที่บางและประหยัดมากๆ ก็จะใช้ 70 แกรม ซึ่งจะเหมาะกับการพิมพ์เอกสารทั่วไป
  • ถ้าต้องการกระดาษที่หนาขึ้นมาอีกหน่อย เช่น งานพิมพ์ที่ต้องการความทนทานหรือพิมพ์บรรจุภัณฑ์ อาจจะเลือก 90-100 แกรม

ลักษณะกระดาษ

  • กระดาษรีไซเคิลจะมีลักษณะผิวสัมผัสที่ไม่ค่อยเรียบเนียนเท่ากับกระดาษใหม่ เพราะมันมีการใช้วัสดุจากกระดาษเก่ามาผสม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะ
  • สีของกระดาษรีไซเคิล มักจะออกสีน้ำตาลหรือครีม เนื่องจากการนำกระดาษเก่ามารีไซเคิลทำให้ไม่ขาวจั๊วะเหมือนกระดาษใหม่ แต่ความธรรมชาติของมันก็ให้ความรู้สึกดีเหมือนกัน
  • โดยทั่วไปแล้วกระดาษรีไซเคิลจะมีความหยาบเล็กน้อยขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต บางครั้งก็จะเห็นเส้นใยที่มีลักษณะเป็นชิ้นเล็กๆ ได้ ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของกระดาษรีไซเคิล

ข้อดีของกระดาษรีไซเคิล

  • รักษาสิ่งแวดล้อม: การใช้กระดาษรีไซเคิลช่วยลดการตัดไม้และช่วยลดขยะที่ไม่จำเป็นในระบบ สิ่งนี้ดีต่อทั้งโลกและกระเป๋าเงินของเรา
  • ราคาถูกกว่า: กระดาษรีไซเคิลมักจะมีราคาถูกกว่ากระดาษใหม่ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานที่ไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษที่ใหม่ที่สุด
  • ใช้ซ้ำได้: เมื่อใช้กระดาษรีไซเคิลแล้ว คุณก็สามารถรีไซเคิลมันได้อีกครั้ง ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบ และลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ

ข้อควรระวัง

  • กระดาษรีไซเคิลอาจจะไม่เหมาะกับงานพิมพ์ที่ต้องการความคมชัดหรือคุณภาพสูง เช่น การพิมพ์ภาพถ่ายหรือการพิมพ์งานที่ต้องการรายละเอียดสูงมากๆ เพราะกระดาษมีพื้นผิวที่ไม่เรียบเหมือนกระดาษใหม่
  • สำหรับการพิมพ์ที่มีสีสันมากๆ หรือพิมพ์ในรูปแบบที่ต้องการความสวยงามสูง กระดาษรีไซเคิลอาจจะไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การใช้งาน

  • งานพิมพ์ทั่วไป: ใช้กระดาษรีไซเคิลสำหรับพิมพ์เอกสารที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความละเอียดสูงมากนัก เช่น รายงาน ใบแจ้งหนี้ หรือหนังสือเล่มเล็กๆ ที่มีข้อมูลเบื้องต้น
  • งานพิมพ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม: ถ้าคุณกำลังพิมพ์สิ่งที่ต้องการสื่อสารเรื่องความยั่งยืน เช่น โบรชัวร์เพื่อโปรโมทการใช้วัสดุรีไซเคิล กระดาษรีไซเคิลคือคำตอบที่ดี
  • การพิมพ์บรรจุภัณฑ์: สำหรับการพิมพ์บรรจุภัณฑ์เช่นกล่องหรือถุงรีไซเคิล กระดาษชนิดนี้ก็เหมาะมาก เพราะมันแข็งแรงและทนทานพอสมควร

เคล็ดลับ การเลือกกระดาษให้เหมาะกับงานพิมพ์

การเลือกกระดาษให้เหมาะกับงานพิมพ์เป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะกระดาษแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ทั้งขนาด ความหนา และลักษณะผิวสัมผัสของกระดาษที่ต่างกันจะทำให้ผลลัพธ์ของงานพิมพ์ออกมาดูดีหรือไม่ดีได้เลย! อย่าลืมว่า กระดาษที่เหมาะสมจะช่วยให้การพิมพ์ออกมาคมชัด สวยงาม และยังทำให้ต้นทุนในการพิมพ์มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

1.ขนาดกระดาษ (Size)

ขนาดกระดาษคือเรื่องที่ต้องเริ่มจากสิ่งที่เราต้องการพิมพ์ ถ้าคุณจะพิมพ์เอกสารทั่วไปกระดาษ A4 (210 x 297 มม.) ก็คือขนาดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในงานเอกสาร อย่างรายงาน หรือการพิมพ์จดหมาย

  • กระดาษ A3 (297 x 420 มม.) เหมาะสำหรับงานที่ต้องการพื้นที่พิมพ์มากขึ้น เช่น โปสเตอร์ แผ่นพับขนาดใหญ่ หรือแผนผัง
  • กระดาษ A5 (148 x 210 มม.) ดีสำหรับงานขนาดเล็ก เช่น โน้ต หรือโปสการ์ด
  • ขนาดพิเศษ สำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การพิมพ์ป้ายโฆษณาหรือบรรจุภัณฑ์อาจจะเลือกขนาดพิเศษตามต้องการ

2.เลือกความหนาของกระดาษ (Gram)

ความหนาหรือที่เราเรียกว่า “แกรม” (Grams per square meter หรือ gsm) เป็นสิ่งที่บอกถึงน้ำหนักและความทนทานของกระดาษค่ะ กระดาษบางกระดาษมีความหนามาก ส่วนกระดาษบางก็จะมีความบางขึ้นอยู่กับการใช้งาน

  • 60-80 แกรม: เหมาะสำหรับการพิมพ์เอกสารทั่วไป เช่น จดหมาย หรือใบรายงานที่ไม่ต้องการความหนาและไม่ต้องรับน้ำหนักมาก
  • 100-120 แกรม: กระดาษที่หนาขึ้น เหมาะสำหรับพิมพ์แผ่นพับ โบรชัวร์ หรือการพิมพ์ที่ต้องการให้เอกสารดูแข็งแรงและทนทานมากขึ้น
  • 180-250 แกรม: เป็นกระดาษที่หนามาก มักจะใช้สำหรับทำการ์ด เช่น การ์ดอวยพร ปฏิทิน หรือโปสเตอร์

การเลือกความหนาให้เหมาะสมจะทำให้พิมพ์งานออกมาได้สวยงามและทนทานค่ะ ถ้าคุณใช้กระดาษที่บางเกินไป งานพิมพ์อาจจะดูเลอะเลือนหรือขาดง่าย แต่ถ้าหนามากไปก็อาจจะทำให้ต้นทุนสูงเกินไป

3.ลักษณะของกระดาษ (Texture and Finish)

การเลือกลักษณะของกระดาษที่เหมาะกับงานพิมพ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก กระดาษแต่ละชนิดมีการเคลือบผิวหรือความเรียบต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อการพิมพ์และการใช้งานในรูปแบบต่างๆ

  • กระดาษอาร์ตมัน (Coated Paper): กระดาษที่มีความมันเงา พื้นผิวเรียบและสวยงาม เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น นิตยสาร โบรชัวร์ หรือแคตตาล็อก เพราะมันช่วยให้สีพิมพ์ออกมาคมชัดและสวยงาม
  • กระดาษอาร์ตด้าน (Matte Paper): กระดาษที่มีพื้นผิวด้าน จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่สะท้อนแสง เหมาะกับงานพิมพ์ที่ไม่ต้องการให้ผิวมันเงา เช่น การพิมพ์ภาพถ่ายที่ต้องการความละเอียดสูงหรือบัตรเชิญ
  • กระดาษรีไซเคิล (Recycled Paper): ถ้าคุณใส่ใจสิ่งแวดล้อมกระดาษรีไซเคิลเป็นตัวเลือกที่ดี แม้ว่าผลลัพธ์อาจจะไม่ได้เงางามหรือคมชัดเท่ากับกระดาษใหม่ แต่ก็สามารถใช้พิมพ์เอกสารทั่วไปหรืองานที่ต้องการประหยัดและเป็นมิตรกับโลกได้

4.ประเภทงานพิมพ์ที่ต้องการ

รู้ไหมว่า การเลือกกระดาษให้เหมาะสมกับงานพิมพ์นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของงานที่คุณจะพิมพ์ด้วย

  • เอกสารธุรกิจ: ถ้าคุณจะพิมพ์เอกสารทางการหรือรายงาน กระดาษปอนด์ (Bond Paper) ขนาด A4 หรือ A3 เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เพราะมันทนทานและราคาประหยัด
  • งานพิมพ์โฆษณา: ถ้าคุณกำลังพิมพ์ แผ่นพับหรือโบรชัวร์ ก็อาจจะต้องเลือกกระดาษที่มีความหนา 100-120 แกรม และควรเลือกกระดาษที่มีพื้นผิวเรียบเพื่อให้สีพิมพ์ออกมาคมชัด
  • บรรจุภัณฑ์: สำหรับการพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ เช่น กล่อง หรือถุง กระดาษ คราฟท์ หรือ กระดาษแข็ง มักจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะกระดาษเหล่านี้แข็งแรงและทนทานต่อการใช้งาน

5.การพิจารณาต้นทุน

ราคาของกระดาษก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ไม่ใช่แค่คุณภาพเท่านั้น การเลือกกระดาษที่เหมาะสมสามารถช่วยลดต้นทุนในระยะยาวได้ ดังนั้นต้องพิจารณาให้ดีระหว่าง คุณภาพ และ ราคา ของกระดาษ

ถ้าคุณทำงานพิมพ์ที่มีจำนวนมากและไม่ต้องการความคมชัดสูง กระดาษราคาถูก เช่น กระดาษปอนด์ หรือ กระดาษรีไซเคิล ก็สามารถช่วยประหยัดต้นทุนได้

แต่ถ้าคุณกำลังทำงานพิมพ์ที่มีความสำคัญสูง หรือการพิมพ์ที่ต้องการความหรูหราและความสวยงาม เช่น การพิมพ์การ์ดเชิญ หรือ โบรชัวร์หรูๆ ก็ควรเลือกกระดาษที่มีคุณภาพสูงขึ้น

สรุป

การเลือกกระดาษที่เหมาะสมสำหรับงานพิมพ์นั้นสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ กระดาษ ประเภทต่างๆ เช่น กระดาษปอนด์ กระดาษอาร์ต หรือกระดาษคราฟท์ คุณสมบัติของกระดาษ เช่น ความหนา ขนาด และพื้นผิว จะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของงานพิมพ์และการรับรู้ของผู้ใช้งาน ดังนั้นการทำความเข้าใจในแต่ละประเภทของกระดาษจึงมีความสำคัญมาก หากคุณเลือกกระดาษผิดอาจส่งผลเสียต่อทั้งการพิมพ์และต้นทุน

อ่านบทความเพิ่มเติม: เลือกกระดาษพิมพ์โบรชัวร์ แผ่นพับ โปสเตอร์ ยังไงให้สวย ดูแพง!


คำถามที่พบบ่อย

1.กระดาษปอนด์ (Bond Paper) คืออะไร?

ตอบ: กระดาษปอนด์เป็นกระดาษที่ใช้กันทั่วไปในงานเอกสาร เช่น รายงาน จดหมาย หรือพิมพ์สำเนา เนื้อกระดาษเรียบ มีความหนา 60-120 แกรม สามารถพิมพ์ได้ดีแต่ไม่ทนทานมากนัก เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ไม่ต้องการความหนาและพิเศษ

2.กระดาษอาร์ต (Art Paper) เหมาะกับงานประเภทไหน?

ตอบ: กระดาษอาร์ตเหมาะสำหรับงานที่ต้องการคุณภาพสูง เช่น โบรชัวร์ ปกหนังสือ หรือแผ่นพับที่ต้องการความคมชัดและสีสันที่สดใส กระดาษนี้มีทั้งเคลือบเงา (Glossy) และเคลือบด้าน (Matte) เพื่อให้เหมาะกับลักษณะงานต่างๆ

3.กระดาษคราฟท์ (Kraft Paper) เหมาะกับงานไหนบ้าง?

ตอบ: กระดาษคราฟท์มักใช้ในการพิมพ์งานที่ต้องการความเป็นธรรมชาติหรือความยั่งยืน เช่น ถุงกระดาษ กล่องบรรจุภัณฑ์ หรือโปสการ์ด กระดาษชนิดนี้มีลักษณะหยาบและสีธรรมชาติ เหมาะกับงานที่ต้องการความดูดิบและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม